SPF คืออะไร – ในยุคปัจจุบันเกือบทุกผลิตภัณฑ์ที่เอาไว้ทาผิวของคนเรา คุณจะเห็นคำว่า SPF โดดเด่นเห็นชัดอยู่ด้านหน้าของผลิตภัณฑ์เสมอ ไม่เพียงเฉพาะครีมกันแดดเท่านั้นที่มีค่าเอสพีเอฟกำกับ / ครีมบำรุงโลชั่น เซรั่มต่างๆ หรือครีมจำพวกปกปิดริ้วรอยอย่าง BB ครีม CC ครีม ฯลฯ ก็มีค่าเอสพีเอฟกำกับกันทั้งนั้น . . . แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าจริงๆแล้วครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟเนั้นมันช่วยปกป้องผิวเราอย่างไร? , จากอะไร? ในบทความนี้ทีมงานเราจะมาเจาะลึกแบบสุดๆ เอาให้คุณรู้แจ่มแจ้งไปเลย ว่าไอ้เอสพีเอฟเนี่ย มันคืออะไรกันแน่
เอสพีเอฟ คืออะไร เอสพีเอฟย่อมาจาก Sun Protection Factor ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ ปัจจัยการป้องกันแสงแดด ซึ่งในหลักสากลนั้นจะใส่เป็นตัวเลขตั้งแต่ 1 ขึ้นไป อย่างที่เราเห็นกันในท้องตลาดก็จะมีตั้งแต่ตำกว่า 10 ขึ้นไปจนถึง 100 กว่าเลยทีเดียว โดยตัวเลขที่สูงนั้นจะบ่งบอกถึงการประสิทธิภาพการทำงานและความยาวนานในการ ป้องกันแดดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
เอสพีเอฟปกป้องผิวของคุณเฉพาะแค่ UVB เท่านั้น (เน้นนะครับ UVB เท่านั้น) ซึ่ง UVB ทำอันตรายกับผิวภายนอกของเท่านั้น ซึ่ง UVB จะทำให้ผิวแทนลง (เพราะว่าเม็ดสีเมลานินไปก่อตัวในบริเวณที่โดนแดด ทำการต่อสู้กับอันตรายของรังสี UVB) ถ้าได้รับ UVB มากๆจะทำให้ผิวของเรานั้นไหม้ได้ (คนที่อยู่ในเมืองไทย น้อยคนคงได้สัมผัสกับอาการผิวไหม้ เพราะส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ที่ไปอาบแดดเป็นเวลานานๆโดยไม่ใช้ครีมกันแดด)
ซึ่ง ขอให้เข้าใจด้วยนะครับว่า UVB นั้นไม่ได้ส่งผลทำให้ผิวของเราแก่ก่อนวัยหรือเกิดริ้วรอยจุดด่างดำ หรือมะเร็งผิว
Photoaging (อาการแก่ก่อนวัย), Pigmentations (จุดด่างดำ)และ Skin cancer (มะเร็งผิว) ล้วนเกิดจากรังสี UVA ซึ่ง ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าเอสพีเอฟอย่างเดียวไม่ได้ช่วยป้องกัน UVA แต่อย่างใด (ค่า PA ต่างหากเป็นตัวที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์สามารถป้องกัน UVA ได้)
แต่ข้อเสียของผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหรือสารกรองแสงที่สามารถป้องกัน UVA ได้ก็คือ คุณจะได้ผลลัพธ์ด้านความงามลดลง เช่น หน้าวอก หน้ามัน แต่งหน้าไม่ติด และจะมีราคาสูงกว่ามาก
เวลาเลือกซื้อครีมกันแดด แนะนำว่าไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับค่าเอสพีเอฟเท่าไหร่ ขอแค่ 30 ขึ้นไป ก็โอเคแล้ว แต่สิ่งที่ควรมองหาเป็นอันดับแรกก็คือ ครีมกันแดดที่คุณเลือกซื้อมีสารกรองแสงแบบ Physical อยู่รึเปล่า (Zinc Oxide หรือ Titatanium Dioxide) ซึ่งสารกรองแสงเหล่านี้สามารถช่วยป้องกัน UVA ได้ (มีสารกรองแสงแบบ Chemical บางตัวที่องค์การอาหารและยานานาชาติประกาศว่าสามารถป้องกัน UVA ได้ แต่จำแค่แบบ Physical ก็พอแล้ว)
ตรงนี้จะขอยกตัวอย่างให้เข้าใจกันง่ายๆนะครับ
นาย A อยู่กลางแดดโดยไม่ทาครีมอะไรเลย 10 นาที ผิวจะไหม้ แดง เกิดอาการคันและแสบ
นาย A ใช้ครีมกันแดดที่มีเอสพีเอฟ 50 = นาย A จะอยู่กลางแดดได้โดยผิวจะไม่ไหม้ ได้เป็นเวลา 500 นาที
หมายความว่า 10×50 = 500 นั่นเอง
นาย B อยู่กลางแดดโดยไม่ทาครีมอะไรเลย 5 นาที ผิวจะไหม้ แดง เกิดอาการคันและแสบ
นาย B ใช้ครีมกันแดดที่มีเอสพีเอฟ 50 = นาย B จะอยู่กลางแดดได้โดยผิวจะไม่ไหม้ ได้เป็นเวลา 250 นาที
หมายความว่า 5×50 = 250 นั่นเอง
ซึ่ง บางผลิตภัณฑ์นั้นเวลาโฆษณามักจะใช้คำชักชวนจูงใจว่ากันได้มากกว่าถึง 50 เท่า ซึ่งผู้ชมผู้อ่านโฆษณามักจะถูกจูงจมูกว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆดีมาก กันแดดได้ดีกว่าตั้ง 50 เท่าแหนะ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างไปจากครีมที่มีค่าเอสพีเอฟ 30 40 เท่าไหร่นัก (คุณอ่านต่อไปจะรู้ว่า SPF 30 กับ 50 นั้น ประสิทธิภาพในการป้องกันต่างกันแต่นิ๊ดดดดเดียวจริงๆ) และป้องกันได้นานกว่านิดหน่อยเท่านั้น แต่ส่วนมากจะตามมาซึ่งราคาที่สูงขึ้น (ซึ่งครีมกันแดดนั้นยังไงก็ต้อง ทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมงอยู่แล้วเพื่อคงประสิทธิภาพในการป้องกัน แล้วมันจะต่างอะไรหากป้องกันได้ 500 นาที 1000 นาที . . . จริงไหมครับ)
ตรงนี้เราจะเอาตารางเปรียบเทียบประสิทธิภาพการป้องกันของค่าเอสพีเอฟมาให้ดูกัน
ค่าเอสพีเอฟเท่ากับ 2 จะป้องกัน UVB ได้ 50%
ค่าเอสพีเอฟเท่ากับ 4 จะป้องกัน UVB ได้ 75%
ค่าเอสพีเอฟเท่ากับ 8 จะป้องกัน UVB ได้ 87.5%
ค่าเอสพีเอฟเท่ากับ 15 จะป้องกัน UVB ได้ 93.3%
ค่าเอสพีเอฟเท่ากับ 20 จะป้องกัน UVB ได้ 95%
ค่าเอสพีเอฟเท่ากับ 30 จะป้องกัน UVB ได้ 97%
ค่าเอสพีเอฟเท่ากับ 45 จะป้องกัน UVB ได้ 97.5%
ค่าเอสพีเอฟเท่ากับ 50 จะป้องกัน UVB ได้ 98%
ค่าเอสพีเอฟเท่ากับ 100 จะป้องกัน UVB ได้ 98.5%
(เห็นได้ชัดว่าหลังจากเอสพีเอฟ 30 ขึ้นไปนั้นการป้องกันแทบไม่ต่างกันเลย ซึ่งนั่นหมายความว่าใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดด SPF 30 ขึ้นไป ก็เพียงพอนะจ้า)
มีอีกวิธีที่ทำให้เข้าใจการป้องกันของค่าเอสพีเอฟได้ง่ายๆก็คือ
ถ้าหากอ่านมาทั้งหมดนี้ยังไม่เข้าอีก เราแนะนำสั้นๆกันแล้วกันนะครับว่าจะให้ดีใช้ครีมกันแดดที่มีเอสพีเอฟตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเพื่อป้องกันผิวพรรณสุดที่รักของคุณจากแสงแดด
เห็นได้ชัดครับว่าเอสพีเอฟตั้งแต่ 30 ขึ้นไปประสิทธิภาพในการป้องกันนั้นไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปยึดติดอะไรมากครับกับค่าเอสพีเอฟ / ที่อยากจะให้ดูจริงๆคือความเหมาะสมของผิวคุณกับครีมกันแดด เช่น ผลลัพธ์ด้านความงามหลังทาเสร็จ (ทำให้ขาวหรือวอกเกินไปไหม, ใช้เครื่องสำอางติดไหม หรือ ลอกออกไหม), เมื่อเวลาผ่านไปแล้วหน้ามันหรือแห้งเกินไปไหม, ใช้แล้วรู้สึกหนักไหม, เป็น physical sunscreen ไหม หรือ ถ้าจะให้ดีดูที่ส่วนผสมจะดีที่สุดว่าสามารถกันได้ทั้ง UVA และ UVB หรือไม่ (มี Titanium Dioxide หรือ Zinc Oxide ไหม)
ทั้งนี้ทั้งนั้นครีมกันแดดเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ทุกวัน แถมบางวันยังอาจจะต้องทาถึง 2 หรือ 3 ครั้ง เพราะฉะนั้นเลือกครีมที่เหมาะกับเราให้ความรู้สึกที่มั่นใจสบายผิวจะดีที่สุดนะครับ
ทีนี้ก็รู้กันกระจ่างแล้วนะครับว่าจริงๆแล้ว SPF คืออะไร ต่อไปเลือกซื้อครีมกันแดด ก็อย่ามองดูกันแต่ค่าเอสพีเอฟอย่างเดียวนะครับ ^_^